วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553


E-Commerce การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และตรอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, คะตะล้อกอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998)




หลักการด้านอีคอมเมิร์ซ
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีคอมเมิร์ซคือ การค้าขายผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เนต อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิถีทางการดำรงชีวิตของทุกคน อินเตอร์เนต จะเปลี่ยนวิธีการศึกษาหาความรู้ อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิธีการทำมาค้าขาย อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิธีการหาความสุขสนุกสนาน อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างจะรวมกันเข้ามาหาอินเตอร์เนต
กล่าวกันว่าในปัจจุบันนี้ถ้าบริษัทห้างร้านใดไม่มีหน้าโฮมเพจในอินเตอร์เนตบริษัทห้างร้านนั้นก็ไม่มีตัวตน นั่นคือไม่มีใครรู้จัก เมื่อไม่มีใครรู้จักก็ไม่มีใครทำมาค้าขายด้วย แล้วถ้าไม่มีใครทำมาค้าขายด้วยก็อยู่ไม่ได้ต้องล้มหายตายจากไป ว่ากันว่าอินเตอร์เนตคือแหล่งข้อมูลข่าวสาร และข้อมูลข่าวสารอย่างหนึ่งก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้า ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ และข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขายผู้ผลิต ซึ่งในปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือกในการที่จะซื้อสินค้ากันมากขึ้น เช่นการเข้าไปเลือกซื้อจากในเว็บไซต์ มีการเข้าไปเปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนที่จะซื้อ หากจะกล่าวว่า “ข่าวสาร” คืออำนาจ ในปัจจุบันนี้ผู้บริโภคก็ได้รับการติดอาวุธอย่างใหม่ที่มีอำนาจมากพอที่จะต่อรองกับผู้ผลิต และผู้จำหน่ายสินค้าได้ผลดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาและพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ในการทำอีคอมเมิร์ซนั้นไม่ใช่เพียงแค่เป็นเว็บเพจหรือช่องทางการจำหน่ายสินค้า แต่อีคอมเมิร์ซยังมีความหมายรวมไปถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ลดเวลาที่ต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับผู้บริโภค และผู้ค้าส่ง สำนักวิจัยไอดีซี (IDC) ได้ประมาณรายได้ของการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B-to-B) ว่าเพิ่มขึ้นจาก 80 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3,200 พันล้านบาทในปี พ.ศ. 2542 เป็น 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 40 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2546

คำจำกัดความของอีคอมเมิร์ซ
คำจำกัดความของอีคอมเมิร์ซนั้นได้มีผู้ให้นิยามไว้ต่างๆ กันอันเนื่องมาจากมองในแง่มุมที่แตกต่างกัน ถ้าถามอาจารย์สามคนว่าอีคอมเมิร์ซคืออะไร ก็คงได้คำตอบสี่คำตอบ คือแต่ละคนให้คำตอบคนละคำตอบ แล้วเมื่อมาประชุมปรึกษาหารือกันก็ตกลงกันเป็นอีกคำตอบหนึ่ง
ถ้าถามนักอินเตอร์เนตหรือที่เรียกกันว่าอินเตอร์นอต (Internaut แบบเดียวกับ Asternaut) ก็อาจจะได้คำตอบว่า อีคอมเมิร์ซคือระบบการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนต
ถ้าถามนักสื่อสารก็อาจจะได้คำตอบว่า อีคอมเมิร์ซคือการใช้ระบบสื่อสารในการส่งโฆษณา สินค้าและบริการไปให้ลูกค้า การใช้ระบบสื่อสาร โดยลูกค้าสั่งซื้อสินค้าและการจ่ายเงิน
ถ้าถามผู้ให้บริการก็อาจจะได้คำตอบว่า อีคอมเมิร์ซคือการให้บริการให้บริษัทห้างร้านต่างๆ ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า ให้บริการผู้ซื้อได้ดูโฆษณาเลือกหาสินค้า และให้บริการเจ้าของกิจการได้ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าและให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้า
ถ้าถามนักเทคโนโลยี ก็อาจจะได้คำตอบว่า อีคอมเมิร์ซคือการนำเทคโนโลยีมาใช้ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการค้าขาย


สรุปอย่างง่ายๆ โดยสังเขปก็อาจจะได้ความว่า อีคอมเมิร์ซ ประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้

(1) ผู้ประกอบการจัดตั้งร้านค้าหรือทำหน้าโฆษณาที่เรียกว่าโฮมเพจหรือเว็บเพจบนอินเตอร์เนต
(2) ผู้ซื้อเข้าไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าในอินเตอร์เนต
(3) ผู้ซื้อติดต่อสอบถามรายละเอียดจากผู้ขาย เช่น ของดีจริงหรือไม่ ส่งได้รวดเร็วเท่าใด มีส่วนลดหรือไม่ เป็นต้น
(4) ผู้ซื้อสั่งสินค้าและระบุวิธีจ่ายเงิน เช่น โดยผ่านบัตรเครดิต เป็นต้น
(5) ธนาคารตรวจสอบว่าผู้ซื้อมีเครดิตดีพอหรือไม่และแจ้งให้ผู้ขายทราบ
(6) ผู้ขายส่งสินค้าให้ผู้ซื้อ
(7) ผู้ซื้ออาจจะใช้อินเตอร์เนตในการติดต่อขอบริการหลังการขายจากผู้ขาย


ประวัติวิวัฒนาการอีคอมเมิร์ซ

การค้าอิเล็กทรอนิกส์นั้นเริ่มขึ้นบนโลกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2513 ซึ่งได้มีการเริ่มใช้ระบบโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเอฟที (EFT = Electronic Fund Transfer) แต่ในขณะนั้นมีเพียงบริษัทขนาดใหญ่และสถาบันการเงินเท่านั้นที่ใช้งานระบบโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ต่อมาอีกไม่นานก็เกิดระบบการส่งเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีดีไอ (EDI = Electronic Data Interchange) ซึ่งสามารถช่วยขยายการส่งข้อมูลจากเดิมที่เป็นข้อมูลทางการเงินอย่างเดียวเป็นการส่งข้อมูลแบบอื่นเพิ่มขึ้น เช่น การส่งข้อมูระหว่างสถาบันการเงินกับผู้ผลิต หรือผู้ค้าส่งกับผู้ค้าปลีก เป็นต้น
หลังจากนั้นก็มีระบบสื่อสารรวมถึงโปรแกรมอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่ระบบที่ใช้ในการซื้อขายหุ้นจนไปถึงระบบที่ช่วยในการสำรองที่พัก ซึ่งเรียกได้ว่าโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของการสื่อสาร และเมื่อยุคของอินเตอร์เนตมาถึงเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2533 จำนวนผู้ใช้อินเตอร์เนตก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้เกิดขึ้น เหตุผลที่ทำให้ระบบการค้าอิเล็กทรอนิกส์เติบโตอย่างรวดเร็วคือโปรแกรมสนับสนุนการค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมามากมาย รวมถึงระบบเครือข่ายด้วย พอมาถึงประมาณปี พ.ศ. 2537 – 2542 ก็ถือได้ว่าระบบการค้าอิเล็กทรอนิกส์หรืออีคอมเมิร์ซก็เป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมอย่างมากและรวดเร็ว ซึ่งวัดได้จากการที่มีบริษัทต่างๆ ในอเมริกาได้ให้ความสำคัญและเข้าร่วมในระบบอีคอมเมิร์ซอย่างมากมาย



ประเภทของอีคอมเมิร์ซ


มีการแบ่งประเภทอีคอมเมิร์ซกันหลายแบบ เช่น แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภท แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภท แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วน และแบ่งอีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าเป็น 2 ประเภท เป็นต้น


อีคอมเมิร์ซ 5 ประเภท ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภทก็ได้ดังต่อไปนี้
(1) ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีกหรือบีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) คือประเภทที่ผู้ซื้อปลีกใช้อินเตอร์เนตในการซื้อสินค้าจากธุรกิจที่โฆษณาอยู่ในอินเตอร์เนต
(2) ธุรกิจกับธุรกิจหรือบีทูบี (B-to-B = Business-to-Business) คือ ประเภทที่ธุรกิจกับธุรกิจติดต่อซื้อขายสินค้ากันผ่านอินเตอร์เนต
(3) ธุรกิจกับรัฐบาลหรือบีทูจี (B-to-G = Business-to-Government) คือประเภทที่ธุรกิจติดต่อกับหน่วยราชการ
(4) รัฐบาลกับรัฐบาลหรือจีทูจี (G-to-G = Government to Government) คือ ประเภทที่หน่วยงานรัฐบาลหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลอีกหน่วยงานหนึ่ง
(5) ผู้บริโภคกับผู้บริโภคหรือซีทูซี (C-to-C = Consumer-to-Consumer) คือ ประเภทที่ผู้บริโภคประกาศขายสินค้าแล้วผู้บริโภคอีกรายหนึ่งก็ซื้อไป เช่นที่อีเบย์ดอทคอม(Ebay.com) เป็นต้น ซึ่งผู้บริโภคสามารถจ่ายเงินให้กันทางบัตรเครดิตได้


คอมเมิร์ซ 3 ประเภท ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภทก็อาจจะแบ่งได้ ดังต่อไปนี้ ้
(1)อีคอมเมิร์ซระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจ หรือ บีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) ซึ่งอาจจะมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
- การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจโดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ กลุ่มสนทนา กระดานข่าว เป็นต้น
- การจัดการด้านการเงิน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว เช่น ฝาก-ถอน เงินกับธนาคาร ซื้อขายหุ้นกับผู้ค้าหุ้น เช่น อีเทรด (www.etrade.com) เป็นต้น
- ซื้อขายสินค้าและข้อมูล ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายสินค้าและข้อมูลผ่านอินเตอร์เนตได้โดยสะดวก

(2)อีคอมเมิร์ซภายในองค์กรหรือแบบอินทราออร์ก (Intra-Org E-commerce) คือ การใช้อีคอมเมิร์ซในการช่วยให้บริษัทหรือองค์ใดองค์กรหนึ่งสามารถปรับปรุงการทำงานภายในและให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- การติดต่อสื่อสารภายในองค์กรจะสะดวกรวดเร็วจะได้ผลดีขึ้น โดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ และป้ายประกาศ เป็นต้น
- การจัดพิมพ์เอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีพับลิซซิง (Electronic Publishing) ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบเอกสาร จัดพิมพ์เอกสาร และแจกจ่ายเอกสารได้สะดวกรวดเร็ว และใช้ค่าใช้จ่ายน้อย ไม่ว่าจะเป็นคู่มือข้อกำหนดสินค้า (Product Specifications) รายงานการประชุม เป็นต้น ทั้งนี้โดยผ่านเว็บ
- การปรับปรุงประสิทธิภาพพนักงานขาย การใช้อีคอมเมิร์ซแบบนี้ช่วยปรับปรุงการสื่อสารระหว่างฝ่ายผลิตกับฝ่ายขาย และระหว่างฝ่ายขายกับลูกค้า ทำให้ได้ประสิทธิภาพดีขึ้น

(3)อีคอมเมิร์ซระหว่างองค์กรหรือแบบอินเตอร์ออร์ก (Inter-Org E-commerce) ซึ่งก็คือแบบเดียวกับแบบที่เรียกว่าบีทูบี (Business to Business) ทั้งนี้โดยมีตัวอย่างต่อไปนี้
- การจัดซื้อ ช่วยให้จัดซื้อได้ดีขึ้น ทั้งด้านราคา และระยะเวลาการส่งของ
- การจัดการสินค้าคงคลัง
- การจัดส่งสินค้า
- การจัดการช่องทางขายสินค้า
- การจัดการด้านการเงิน

อีคอมเมิร์ซ 6 ส่วน ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วนก็แบ่งได้ดังต่อไปนี้
(1)การขายปลีกทางอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเทลลิ่ง (E-tailing= Electronic Retailing) หรือร้านค้าเสมือนจริง (Virtual Storefront) ยอดขายปลีกอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริกาใน ค.ศ. 1999 มีมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท
(2)การวิจัยตลาดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือมาร์เก็ตอีรีเซิร์ช (Market E-research) คือการใช้อินเตอร์เนตในการวิจัยตลาดแบบเดียวกับที่สำนักวิจัยเอแบค-เคเอสซีอินเตอร์เนตทำอยู่ จากการใช้อินเตอร์เนตนี้ บริษัทห้างร้านสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าปัจจุบัน และผู้ที่อาจจะเป็นลูกค้าในอนาคต ทั้งจากการลงทะเบียนเข้าใช้เว็บ จากแบบสอบถามและจากการสั่งซื้อสินค้าของลูกค้า การวิจัยตลาด อินเตอร์เนตก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
(3)อินเตอร์เนตอีดีไอ หรือการส่งเอกสารตามมาตรฐานอีดีไอโดยใช้อินเตอร์เนต ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายต่ำลงก็ถือว่าเป็นอีคอมเมิร์ซประเภทหนึ่ง
(4)โทรสารและโทรศัพท์อินเตอร์เนต การใช้โทรสารและโทรศัพท์ทางไกลผ่านอินเตอร์เนตหรือ วีโอไอพี (VoIP= Voice over IP) นั้นมีราคาต่ำกว่าการใช้โทรสารและโทรศัพท์ธรรมดา และอาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
(5) การซื้อขายระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทต่างๆ จำนวนมากในปัจจุบันติดต่อซื้อขายสินค้ากันโดยผ่านเว็บในอินเตอร์เนต ซึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
(6) ระบบความปลอดภัยในอีคอมเมิร์ซ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของอีคอมเมิร์ซ ทั้งนี้ในปัจจุบันมีการใช้วิธีต่างๆ เช่น เอสเอสแอล (SSL= Secure Socket Layer) เซ็ต (SET = Secure Electronic Transaction) อาร์เอสเอ (RSA = Rivest, Shamir and Adleman) ดีอีเอส (DES= Data Encryptioon Standard) และดีอีเอสสามชั้น (Triple DES) เป็นต้น


อีคอมเมิร์ซ 2 ประเภทสินค้า ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าก็แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
(1)สินค้าดิจิตอล เช่น ซอฟท์แวร์ เพลง วิดีโอ หนังสือ ดิจิตอล เป็นต้น ซึ่งสามารถส่งสินค้าได้โดยผ่านอินเตอร์เนต
(2)สินค้าที่ไม่ใช่ดิจิตอล เช่น สินค้าหัตถกรรม สินค้าศิลปชีพ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง เครื่องประดับ เครื่องจักรอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งต้องส่งสินค้าทางพัสดุภัณฑ์ ผ่านไปรษณีย์หรือบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์


แนวคิดของอีคอมเมิร์ซ จะประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วนหลักๆ คือ
(1) Customer Relationship Management (CRM) การบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้าเพราะลูกค้าคือส่วนสำคัญที่สุดและเป็นส่วนที่เป็นพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจ บริษัทไม่สามารถที่จะพัฒนาได้ถ้าขาดความเชื่อมั่นจากลูกค้า เพราะฉะนั้นการปรับปรุงการโต้ตอบระหว่างลูกค้ากับกระบวนการต่างๆ ของธุรกิจ ที่เป็นกระบวนการย่อยซึ่งจะส่งผลต่อลูกค้าโดยรวม
(2) Supply Chain Management (SCM) เป็นแนวคิดการผสานกลไกทางธุรกิจทั้งหมด ตั้งแต่การนำวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิต จนกระทั่งส่งสินค้าถึงมือลูกค้า ช่วยให้บริษัทสร้างระบบการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร สินค้า และการบริการ ให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยระบบงานภายในและภายนอกบริษัท
(3) Enterprise Resource Planning (ERP) เป็นการวางแผนบริหารทรัพยากรภายในองค์กร โดยการมุ่งเน้นที่จะปรับปรุงระบบการดำเนินงานและการพัฒนาบุคลากรขององค์กร เพื่อให้องค์กรมีขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นการผสานกลยุทธ์ทางธุรกิจ เทคโนโลยี และบุคลากรเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน




วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน - ASEAN)

สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน - ASEAN)

สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อังกฤษ: Association of South East Asian Nations) [1] หรือ อาเซียน (ASEAN) เป็นองค์การทางภูมิศาสตร์การเมืองและองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือกันในการเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม การพัฒนาวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิก และการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในพื้นที่

ธรณีสัณฐานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในปัจจุบัน สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วยประเทศสมาชิกจำนวน 10 ประเทศ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 4.5 ล้านตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 560 ล้านคน (ข้อมูลในปี พ.ศ. 2549) ยอดเขาที่สูงสุดในภูมิภาค คือ ยอดเขาข่ากาโบราซีในประเทศพม่า ซึ่งมีความสูง 5,881 เมตร และมีอาณาเขตติดต่อกับจีน อินเดีย บังคลาเทศและปาปัวนิวกินี
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 27-36 °C พืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าฝนเขตร้อน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก ป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ ป่าสน ป่าหาดทรายชายทะเล ป่าไม้ปลูก มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง สับปะรด ยางพารา ปาล์มน้ำมันและพริกไทย


วัตถุประสงค์

จากสนธิสัญญาความสามัคคีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีการสรุปแนวทางของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้จำนวนหกข้อ ดังนี้
ให้ความเคารพแก่เอกราช อำนาจอธิปไตย ความเท่าเทียม บูรณภาพแห่งดินแดนและเอกลักษณ์ของชาติสมาชิกทั้งหมด รัฐสมาชิกแต่ละรัฐมีสิทธิที่จะปลอดจากการแทรกแซงจากภายนอก การรุกรานดินแดนและการบังคับขู่เข็ญ จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐสมาชิกอื่น ๆ ยอมรับในความแตกต่างระหว่างกัน หรือแก้ปัญหาระหว่างกันอย่างสันติ ประณามหรือไม่ยอมรับการคุกคามหรือการใช้กำลัง ให้ความร่วมมือระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพ


ข้อตกลงอาเซียน

ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ให้การรับรองและออกเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการประชุมฯ อีก 6 ฉบับ และรับทราบเอกสารอีก 7 ฉบับ รวมทั้งเป็นพยานเอกสารที่ลงนามโดยรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน 1 ฉบับ ดังนี้ เอกสารที่ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนให้การรับรอง จำนวน 6 ฉบับ ได้แก่
1. แผนงานการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน
2. แผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
3. แผนงานข้อริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน ฉบับที่สอง ค.ศ.2009-2015
4. ปฏิญญาร่วมว่าด้วยการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษในอาเซียน
5. แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งแผนนโยบายบูรณาการความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน และแผนกลยุทธ์ความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน
6. แถลงการณ์ว่าด้วยวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินโลก



เอกสารที่ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนรับทราบ จำนวน 7 ฉบับ ได้แก่

1. รายงานประจำปีของเลขาธิการอาเซียนเรื่องการดำเนินงานของอาเซียนต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14
2. รายงานของเลขาธิการอาเซียนว่าด้วยพัฒนาการการอนุวัติแผนปฏิบัติการเวียงจันทน์
3. รายงานของเลขาธิการอาเซียนว่าด้วยการติดตามผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง
4. รายงานของผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิอาเซียน
5. ตารางความคืบหน้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
6. รายงานการดำเนินโครงการเผยแพร่ปีแห่งความรู้เกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2551
7. รายงานว่าด้วยการแข่งขันเพลงประจำอาเซียน

เอกสารที่ลงนามโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยมีผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นพยาน จำนวน 1 ฉบับ ได้แก่ ความตกลงอาเซียนว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียม

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คริสมาส Trip ณ สวนนงนุช

คริสมาส Trip ณ สวนนงนุช
เมื่อวันที่ 25-26 ธันวาคมที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสไปทัศนศึกษาดูงานที่ท่าเรือแหลมฉบัง และสวนนงนุชมา ตรงกะคืนคริสมาสพอดีเลย อยากบอกเพื่อนที่ไม่ได้ไปว่าน่าเสียดายมากๆๆ เพราะมีแต่เรื่องดีๆๆ และความสนุกสนานความสวยงามให้เราได้เก็บเกี่ยว เหมือนกับชาร์ตแบตให้กับตัวเองมีพลังที่จะมาดำเนินชีวิตในกรุงเทพ เมืองที่แสนเร่งรีบและวุ่นวาย ก่อนอื่นเราขอนำเสนอประวัติของสวนนงนุช

ประวัติสวนนงนุช
เมื่อปีพุทธศักราช 2497 คุณ.พิสิทธิ์ และ คุณ.นงนุช ตันสัจจา ได้ซื้อที่ดินจำนวน 1500 ไร่ หลักกิโลเมตรที่163 ระหว่าง พัทยา - สัตหีบเป็นสวนผลไม้เช่น มะม่วง ส้ม มะพร้าว และ อื่นๆต่อมาคุณ.นงนุชได้เดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ .และได้ประทับใจในความสวยงามของสวน ต่างประเทศ..ที่ได้เข้าไปชมประกอบกับเป็นคนที่ชอบดอกไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว .จึงมีแนวคิดที่จะ " จัดสวนให้คนมาเที่ยว " ดังนั้นจึงเปลี่ยนสวนผลไม้ที่เป็นอยู่เดิมเป็นสวนไม้ดอก ไม้ประดับ และได้ ทำการปลูกสร้างพร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเช่นบ้านพัก ห้องอาหาร และห้องจัดเลี้ยงต่างๆ ไว้สำหรับให้บริการนักท่องเที่ยวผู้ที่มาเยี่ยมเยือนสวนแห่งนี้..... สวนนงนุช ได้เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อในปี พุทธศักราช 2523 โดยจัดให้มีการแสดงของศิลปวัฒนธรรม และสิ่งที่มีชื่อเสียงที่ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักสวนนงนุชจะได้แก่สวนที่รวบรวมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ
ทั้งในและต่างประเทศเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบต้นไม้ และสไตล์การจัดสวนที่มีชื่อเสียง. และสถาน
ที่พักผ่อนหย่อนใจไปกับธรรมชาติอันงดงามควรค่าแก่การศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติ ..พวกเราจะได้รู้จัก
การอนุรักษ์รักษาธรรมชาติและสิ่งที่สวยงามต่างๆเหล่านี้ให้คงอยู่คู่กับเราตลอดไป...

กิจกรรมภายในสวนนงนุช หลายอย่างของสวนคือ .มีบริการเรือชนิดต่างๆ .ให้เช่าพายเล่นในสระ มีสัตว์หลายชนิดให้ชม ศูนย์รวมวัฒนธรรมแบบไทย มีการแสดงสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วย การฟ้อนรำพื้นเมืองศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว (มวยไทย,ฟันดาบ) แสดงของช้าง ใช้เวลาแสดงประมาณ 1 ชั่วโมงเศษขอบอกว่าการแสดงช้างแสนรู้น่าดูมากไม่น่าเชื่อว่าเจ้าสัตว์ตัวใหญ่จะสามารถขนาดนี้ เรามีภาพมาฝากเพื่อนๆด้วย


ช้างแสนรู้





บรรยากาศในสวนนงนุช







นอกจากกิจกรรมดีๆภายในสวนนงนุชแล้ว ในยามค่ำคืน วันที่ 25 ธันวาคมเรายังมีปาร์ตี้เล็กๆ ภายใต้บรรยายกาศที่สวยงามขับกล่อมด้วยเสียงเพลงจากนักร้องนับสิบมากมายเท่าที่คุณต้องการ เรามีภาพมายืนยัน












นอกจากนี้เรายังมีภาพในมุงต่างๆของผู้ร่วมทริปมาฝากด้วย. ... .. .หวังว่าจะได้เดินทางร่วมกันอีกในครั้งหน้านะคะ . . .. ....ขอบคุณคะ




วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สละอินโด
สละหรือภาษามลายูเรียกว่า(เวาะสาเลาะห์)มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทานกันมาก ในปัจจุบันนี้สละนิยมปลูกกันมากในประเทศไทยยิ่งในสามจังหวัด คือ นราธิวาส ปัตตานีและยะลา สละที่ชาวบ้านนิยมปลูกกันมากคือลูกสละสายพันธ์อินโดเพราะสละสายพันธ์นี้มีรสอร่อย กรอบ กลิ่นหอมชวนน่ารับประทานมากๆ วิธีการปลูกก็ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากในสวนยางก็ปลูกได้และจะขึ้นได้ดีในที่ร่มการดูแลก็ไม่ยุ่งยากเหมือนพืชชนิดอื่นๆเพียงแค่พรวนดิน ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งและถ้าจะให้ดีเมื่อใบของสละมีมากเกินไปก็ควรตัดทิ้งให้เหลือเพียงเล็กน้อยที่สำคัญเมื่อต้นสละผลิตลูกออกมาจำนวนมากเกินไปก็ควรเกะลูกทิ้งบางสวนเพราะจะทำให้ลูกที่เหลือโตเต็มที่และมีผลที่มีขนาดใหญ่ ส่วนเรื่องรสชาติขอบอกว่าอร่อยไม้แพ้สละลูกสีแดงๆที่เรารับประทานกันเลยแต่จะมีความกรอบมากกว่าทานแล้วจะรู้สึกกรอบๆมันๆ

เอื้องสายสี่ดอก
เอื้องสายสี่ดอก
Dendrobium cumulatum Lindl.
Flowering Period :
Size : 3 cm
ชื่อวิทย์ Dendrobium cumulatum Lindl.
ชื่อไทย เอื้องสายสี่ดอก, เทียนทอง
ลักษณะทั่วไป ลำต้น ลักษณะเป็นลำลูกกล้วย เป็นสาย ยาวประมาณ 35-85 ซม. ลำแก่สีม่วงดำ ใบ รูปไข่รียาวประมาณ 7-9 ซม. สีเขียวเข้ม ดอก เป็นช่อ พบบริเวณข้อตามลำต้น แต่ละช่อมีดอกประมาณ 3-8 ดอก ดอกโต ประมาณ 4 ซม. กลีบดอกสีขาว ปลายกลีบสีม่วง ปากสีเหลืองอ่อน ปลายปากทั้ง 2 ข้างม้วนออกด้านนอก ราก เป็นแบบรากกึ่งอากาศ (semi-epiphytic)
ช่วงเวลาออกดอก พฤษภาคม - กรกฎาคม
แหล่งที่พบในประเทศไทย ป่าดิบแล้งทางภาคเหนือ ภาคใต้และภาคตะวันตก
แหล่งแพร่กระจายพันธุ์ ไทย และเมียนม่าร์

เอื้องสายสี่ดอก สวยแก้หืดได้
กล้วยไม้ หลายชนิดนอกจากจะมีดอกสวยงามแล้ว บางพันธุ์ยังมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรชั้นดีอีกด้วย ซึ่ง “เอื้องสายสี่ดอก” ก็จัดอยู่ในกลุ่มดังกล่าวเช่นกัน เคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้ว แต่ยังมีผู้อ่านจำนวนมากให้ลงภาพของดอกให้ชัดเจนอีกซักครั้ง พร้อมข้อมูลด้วย จะได้ซื้อไปปลูกไม่ผิดอีก เพราะเคยซื้อไปปลูกแล้วมีดอกไม่เหมือนกับที่ลงในไทยรัฐ และเป็นจังหวะที่พบว่ามีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ กำลังมีดอกสวยงามมาก จึงถ่ายภาพ นำเรื่องสนองความต้องการของแฟนๆทันทีเอื้องสายสี่ดอก หรือ DENDROBIUM CUMULATUM LINDL. อยู่ในวงศ์ ORCHIDACEAE เป็นกล้วยไม้อิงอาศัยที่มีการเจริญทางด้านข้าง ได้แก่ กล้วยไม้ที่มีเหง้า ส่วนทอดเลื้อยหรือไหล เมื่อต้นกล้วยไม้เอื้องสายสี่ดอก เจริญเต็มที่แล้วสามารถแตกต้นใหม่ หรือหน่อใหม่จากโคนกอ หรือตามข้อลำต้นได้ มีมากมายหลายสกุล เช่น สกุลหางแมงเงา สกุลสิงโต สกุลน้ำต้น สกุลกะเรกะร่อน สกุลหวาย สกุลเพชรหึง เป็นต้น และ”เอื้องสายสี่ดอก” ก็รวมอยู่ในกลุ่มเจริญทางด้านข้างตามที่กล่าวข้างต้นด้วย ลักษณะลำต้นหรือลำลูกกล้วยเป็น สายยาว ใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนานดอก ออกเป็นช่อแบบกระจะ มี 2-5 ดอก ต่อช่อ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกเป็นรูปไข่กลับ เป็นสีชมพูอมม่วง กลีบปากเป็นสีขาวครีม มีสัน 2 สัน ไม่ชัดเจน ฝาครอบเกสรตัวผู้สีเหลือง ดอกเมื่อบานเต็มที่กว้างประมาณ 1.5 ซม. เวลามีดอกหลายๆช่อและดอกบานพร้อมกันและช่อดอกห้อยลง จะดูเป็นสีชมพูหวานซึ้ง สวยงามน่ารักมาก ดอกออกช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมิถุนายนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีแยกเหง้า หรือแยกหน่อ มีชื่อเรียกอีกคือ เทียนทอง เทียนพญาอินทร์ (ภาคเหนือ-ภาคตะวันออก) พบขึ้นตามธรรมชาติมากที่สุดทางภาคเหนือในเขตพื้นที่ จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ภาคตะวัน ออกที่ตราด ภาคใต้ที่ จ.สุราษฎร์ธานีและพังงาปัจจุบัน “เอื้องสายสี่ดอก” มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง “คุณวิรัช” หน้าธนาคารออมสิน ราคาสอบถามกันเอง นิยมปลูก 2 แบบ คือปลูกลงกระถางกล้วยไม้และปลูกให้ต้นเกาะซากไม้ขนาดใหญ่ หลังปลูกนำไปแขวนในที่แจ้ง มีลมพัดโกรกดี ตลอดวันรดน้ำเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยกล้วยไม้ ละลายน้ำฉีดพ่นสม่ำเสมออาทิตย์ละครั้ง จะทำให้ “เอื้องสายสี่ดอก” มีดอกดก สีสันของดอกเข้มข้นสวยงามเมื่อถึงฤดูกาลสรรพคุณทางสมุนไพร ใช้ลำต้นครั้งละ 1 ต้น ตัดเป็นท่อน สั้นๆ ต้มกับน้ำจนเดือด ดื่มแทนน้ำชาทั้งวัน เป็นยาแก้หืดหอบดี



ผลไม้ลูกผสม เงาะลิ้นจี่


เงาะลิ้นจี่






วันนี้นำผลไม้แปลกๆมาให้ดูกัน ผลไม้ชนิดนี้ออกจะแปลกๆครับดูคล้ายเงาะผสมกับลิ้นจี่ เห็นครั้งแรกเมื่อเกือบ10ปีก่อน มีคนนำมาขายที่ตลาดเบตงและสอบถามได้ความว่านำพันธุ์มาจากมาเลเซีย ปลูกที่จันทรัตน์ ผลไม้ชนิดนี้สู้บ้านเราไม่ได้เลยไม่สนใจ ที่จะสอบถามชื่อเสียงเรียงนาม แต่เข้าใจว่าเป็นผลไม้ที่ทางการมาเลเซียผสมพันธุ์ขึ้นมา แต่รสชาดสู้เงาะโรงเรียนบ้านเราไม่ได้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2552 ในงานมหกรรมผลไม้และของดีเมืองยะลา จังหวัดให้อำเภอต่างๆนำผลผลิตทางการเกษตรมาจำหน่าย ซุ้มของอำเภอเบตงนำผลไม้ที่กล่าวนี้จำหน่ายกิโลกรัมละ25 บาทขายดิบ ขายดีและเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2552 มีโอกาสได้ไปงานเกษตรแฟร์ ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสนและได้มีโอกาสพบเห็นผลไม้ชนิดนี้จริงๆ จึงถือโอกาสนี้นำมาแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้จักกัน

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เมื่อฤดูหนาวมาเยือน ผลไม้ที่ถูกกล่าวถึงคงไม่พ้น สตอเบอรี่สีแดงสด ชวนรับประทาน
สตอเบอรี่เป็นผลไม้เมืองหนาวที่มีสีสันและรสชาติที่น่ารับประทานเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ตอนนี้หน้าหนาวมาเยือนแล้ว เราจึงนำข้อมูลสตอเบอรี่มาให้เพื่อนๆ ทราบกัน

การปลูกสตอเบอรี่


ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ผลขนาดเล็กให้ผลผลิตในหนึ่งฤดู ผลสุกมีรสเปรี้ยวหวาน กลิ่นหอม สีแดง เป็นที่นิยมของผู้บริโภค เป็นพืชอยู่ในวงศ์ Rosaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Fragaria ananassa เป็นไม้พุ่มที่สูงจากผิวดิน 6-8 นิ้ว ทรงพุ่มกว้าง 8-12 นิ้ว ระบบรากดีมาก แผ่กระจายประมาณ 12 นิ้ว ใบแยกเป็นใบย่อย 3 ใบ มีก้านใบยาว ขอบใบหยัก ลำต้นสั้นและหนา ดอกเป็นกลุ่ม มีกลีบรองดอกสีเขียว 5 กลีบ กลีบดอกสีขาว 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียกระจายอยู่เหนือฐานรองดอก ผลเจริญเติบจากฐานรองดอก มีผลขนาดเล็ดคล้ายเมล็ดจำนวนมากติดอยู่รอบเรียกว่า “เอคีน (Achene)”

พันธุ์สตรอเบอรี่
การปลูกสตรอเบอรี่ในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือมีมานานพอสมควร แต่ สตรอเบอรี่ที่ปลูกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตต่ำ ผลเล็ก สีซีด และช้ำง่าย
ในปัจจุบันมีพันธุ์ที่เหมาะสมและปลูกได้ผลดี ผลผลิตสูงผลใหญ่ เรียว เนื้อแน่น สีแดงจัด รสชาติดี ใบย่อย ใบกลางเรียวหยักปลายใบใหญ่ ต้นใหญ่ ให้ผลผลิตยาวนาน พันธุ์ดังกล่าวเรียกกันว่าพันธุ์ “ไทโอก้า”

ความต้องการสภาพดินฟ้าอากาศ ดินที่ปลูกสตรอเบอรี่ควรเป็นดินร่วนปนทราย ความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ในระหว่าง 5-7 ซึ่งเป็นดินที่สภาพเป็นกรดเล็กน้อย สตรอเบอรี่ต้องการช่วงแสงต่ำกว่า 11 ชั่วโมง และอุณหภูมิหนาว-เย็น ในการติดดอกออกผล ถ้าอุณหภูมิยิ่งต่ำยิ่งทำการติดดอกออกผลดีขึ้น

การปลูกเพื่อต้องการผล
ควรปลูกในเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม โดยต้นอ่อนหรือไหลที่จะปลูกควรมีแขนไหลที่มีข้อ
ติดด้วยการเตรียมแปลงปลูกทำนองเดียวกับแปลงปลูกผักคือ การปลูกต้องใช้ส่วนโคนของลำต้น
______________________________________________________________________________
* นักวิชาการเกษตร 4 ฝ่ายสำรวจและวางแผน กองอนุรักษ์ต้นน้ำ
กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
อยู่ในระดับดิน ถ้าปลูกลึกยอดจะเน่า ถ้าตื้นรากจะแห้งทำให้เจริญเติบโตช้า ใช้ส่วนแขนไหลจิ้มลงในดินเพื่อช่วยดูดน้ำในระยะแรกปลูกในขณะที่ไหลกำลังตั้งตัว
ระยะปลูก 25 x 30 ซม. แปลงกว้าง 100 ซม. สูง 20 ซม. ยาวตามที่ต้องการ ทางกว้างประมาณ 40 ซม. ปลูก 3 แถว ในพื้นที่ 1 ไร่ จะใช้ไหลปลูกประมาณ 10,000-12,000 ต้น
การเตรียมแปลงปลูกอาจเตรียมแปลงปลูกแบบทำนาดำซึ่งสะดวกและประหยัดแรงงานและเวลาในการให้น้ำ โดยให้น้ำแบบท่วมแปลง แต่ใช้ได้เฉพาะพื้นที่ที่มีน้ำเพียงพอ

การให้น้ำ
เนื่องจากสตรอเบอรี่เป็นพืชที่ไม่ทนต่อความแห้งแล้งเพราะฉะนั้นต้องระวังการให้น้ำเป็นพิเศษ การขาดแคลนน้ำนาน ๆ มีผลกระทบต่อผลผลิตของสตรอรี่บ่อยครั้งที่กสิกรไม่ให้ความสำคัญในข้อนี้ทำให้ผลผลิตที่ปรากฏภายหลังตกต่ำจนไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต
ก่อนที่จะให้น้ำแก่สตรอเบอรี่จะต้องพิจารณาเสียก่อนว่าน้ำที่จะให้มีคุณสมบัติเป็นกรดหรือด่างถ้าเป็นด่างไม่ควรใช้เพราะต้นสตรอเบอรี่จะไม่เจริญเติบโตในสภาพที่ดินเป็นด่าง
วิธีการให้น้ำ อาจใช้บัวรด ซึ่งรดทุกวัน ๆ ละ 1 ครั้ง ซึ่งวิธีนี้ประหยัดน้ำ แต่สิ้นเปลืองแรงงานจะใช้วิธีนี้เมื่อมีน้ำขังอยู่จำกัดแต่มีแรงงานเหลือเฟือหรือค่าแรงงานต่ำ
หรือจะให้น้ำแบบท่วมโดยปล่อยน้ำเข้าท่วมแปลง โดยให้น้ำเข้าท่วมแปลงจนกระทั่งดินอิ่มตัวด้วยน้ำซึ่งประมาณ 5-10 ซม. แล้วแต่คุณสมบัติของดินและความชื้นอากาศ โดยใช้ระยะเวลา 7-10 วัน จึงทำการปล่อยน้ำ 1 ครั้ง วิธีนี้ประหยัดแรงงาน แต่ใช้ได้เฉพาะพื้นที่มีน้ำเพียงพอ

การให้ปุ๋ย
ในที่นี้จะกล่าวถึงการให้ปุ๋ยเพื่อต้องการผลสตรอเบอรี่เท่านั้น ส่วนการให้ปุ๋ยเพื่อผลิตไหลจะกล่าวในหัวข้อต่อไป ในการให้ปุ๋ยเพื่อต้องการผลนั้น ก่อนปลูกให้ขุดหลุมลึกประมาณ 5-6 นิ้ว แล้วใส่ปุ๋ยคอก 30 กรัม และปุ๋ยซูเปอร์ฟอสเฟส 1 ช้อนชารองก้นหลุมก่อนปลูก หลังจากนั้น 1 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร6-24-24 (ใช้ในกรณีที่ปลูกเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) หรือปุ๋ยสูตร 13-13-21 (ในกรณีที่ปลูก เดือนกันยายน- ตุลาคม) หรือปุ๋ยสูตร 16-16-16 (ในกรณีที่ปลูกเดือนพฤศจิกายน- มกราคม) โดยใส่ 2 กรัมต่อต้น โดยแบ่งให้ 4 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 7-10 วัน

การใช้วัสดุคลุมดิน
การใช้วัสดุคลุมดินเพื่อ.-
1. ป้องกันการระเหยของน้ำจากพื้นดินเนื่องจากความร้อนจากแสงแดด ในช่วงที่ปลูก สตรอเบอรี่เพื่อต้องการผลจะอยู่ในระหว่างเดือนกันยายน - เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีความร้อนแสงแดดรุนแรง ความชื้นในอากาศต่ำ
2. ป้องกันแร่ธาตุอาหารในดินถูกทำลายเนื่องจากความร้อน
3. ป้องกันผลสตรอเบอรี่ซึ่งจะเสียหายเนื่องจากผลถูกกับพื้นดิน

วัสดุที่ใช้คลุมดินสำหรับสตรอเบอรี่ ได้แก่ฟางข้าว หรือใบตองตึง การคลุมอาจจะคลุมก่อนปลูก หรือหลังปลูก หรือในระยะเริ่มติดดอกทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความคงทนของวัสดุ แรงงาน ราคาวัสดุ และการทำลายของแมลงในดิน เช่น ปลวก เป็นต้น

การติดดอกออกผล
เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลง และช่วงแสงสั้นเข้าซึ่งประมาณเดือนพฤศจิกายน สตรอเบอรี่จะเริ่มติดดอกและผลจะสุกหลังจากติดดอก 21-25 วัน ผลสตรอเบอรี่ระยะแรกจะมีสีเขียว และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม มีรสเปรี้ยวปนหวาน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5-3.5 ซม.
ผลจะสุกมากที่สุดเดือนมีนาคม และจะหมดประมาณเดือนเมษายน - พฤษภาคม

การเก็บเกี่ยว
เนื่องจากผลสตรอเบอรี่ช้ำง่าย การเก็บเกี่ยวต้องคำนึงถึงระยะทางในการขนส่งสู่ตลาดถ้าระยะทางไกลต้องเก็บผลสุกหรือเห็นสีแดง 50% ซึ่งจะได้ผลแข็งสะดวกแก่การขนส่ง ถ้าระยะทางใกล้ควรเก็บผลสุกหรือสีแดง 75%
เวลาที่เก็บ ควรเก็บตอนเช้า เมื่อเก็บแล้วไม่ควรให้ผลถูกแสงแดด ซึ่งจะทำให้ผลเน่าเร็วควรเก็บทุก 1-2 วัน

การบรรจุและขนส่ง
เนื่องจากผลสตรอเบอรี่บอบช้ำง่าย โดยเฉพาะถ้าเส้นทางคมนาคมไกลและไม่ดีเท่าที่ควร การบรรจุผลสตอเบอรี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญ ภาชะนะที่บรรจุจะต้องไม่มีส่วนที่แหลมคมซึ่งจะทำให้ผลเสียหาย การวางผลจะต้องวางไม่เกินสองชั้น ถ้าพบว่ามีผลเสียควรคัดออกทันทีเพื่อป้องกันผลข้างเคียงพลอยเน่าเสียหายไปด้วย
ในกรณีเส้นทางคมนาคมลำบากไม่สามารถขายผลสดจำเป็นต้องขายผลช้ำ ต้องตัดหัวขั้วและส่วนที่เน่า แล้วบรรจุในปี๊บที่ภายในรองด้วยถุงพลาสติก ถ้าระยะทางไกลจากตลาดมากหรือจำเป็นต้องเก็บผลสตรอเบอรี่ไว้ค้างคืนการใส่น้ำตาลเพื่อรักษาคุณภาพของผล โดยใช้น้ำตาล 4 กก. ต่อผลสตรอเบอรี่ 10 กก.

การปฏิบัติหลังจากสตรอเบอรี่ให้ผลแล้ว
เมื่อถึงเดือนเมษายนต้นสตรอเบอรี่เริ่มหยุดให้ผล เนื่องจากอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นช่วงแสงเริ่มยาวขึ้น ต้นสตรอเบอรี่จะเริ่มเจริญเติบโตด้านลำต้น กสิกรในพื้นราบมักจะขุดต้นสตรอเบอรี่ทิ้งด้วยสาเหตุดังต่อไปนี้.-
1. การดูแลรักษาต้นสตรอเบอรี่ข้ามปี ในสภาพที่อุณหภูมิสูงทำได้ยาก และเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลสูง เนื่องจากต้นสตรอเบอรี่ไม่ทนต่อสภาพอากาศที่ร้อน และสภาพอากาศที่อุณหภูมิสูงโรคของสตรอเบอรี่ระบาดง่าย
2. เพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินหลังจากปลูกสตรอเบอรี่หยุดให้ผล เช่น ปลูกผักหรือพืชไร่ซึ่งได้ผลตอบแทนสูงกว่า
3. การที่ทำลายต้นสตรอเบอรี่ เป็นการทำลายแหล่งเพาะเชื้อโรคของสตรอเบอรี่ได้ผลดี

การปลูกสตรอเบอรี่เพื่อผลิตไหล
ไหล คือส่วนที่เจริญเติบโตมาจากต้นแม่ตรงลำต้นหรือข้อ หรือส่วนของไหลต้นเก่าเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ โดยปล้องหรือแขนไหล
เนื่องจากเหตุผลในข้อที่แล้ว จึงมีกสิกรส่วนหนึ่งที่มีอาชีพปลูกสตรอเบอรี่ ผลิตไหลขายให้แก่กสิกรพื้นราบ กสิกรกลุ่มนี้มีที่ดินที่อยู่ในสภาพอุณหภูมิที่หนาวเย็น แม้แต่ในฤดูร้อน มีค่าแรงงานถูก เช่น กสิกรของชนกลุ่มน้อยชาวไทยภูเขาที่อาศัยในเขตที่สูงภาคเหนือ ซึ่งมียังชีพโดยการทำไร่เลื่อนลอยซึ่งตัดไม้ทำลายป่าโดยเฉพาะป่ารักษาต้นน้ำ
การส่งเสริมให้ชาวไทยภูเขาปลูกสตรอเบอรี่เพื่อขายไหลจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะยับยั้งการปลูกฝิ่น
ข้อดีของไหลที่ผลิตในเขตที่สูงคือ เมื่อนำไปปลูกเพื่อต้องการขายผลได้ผลผลิตสูงกว่าไหลที่ปลูกเองในที่ราบ ต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า ทนทานต่อโรคได้ดีกว่าและมีเปอร์เซ็นต์การรอดตายสูง
การเตรียมพื้นที่และเตรียมต้นปลูก
การเตรียมพื้นที่เหมือนกับการปลูก เพื่อต้องการขายผลสำหรับต้นที่ให้ผลหมดแล้วก็จะเป็นต้นที่แตกกอออกมาประมาณ 5-7 ต้น ติดอยู่กับต้นเก่า ควรขุดต้นออกทั้งกอ แล้วใช้มีดหรือกรรไกรแต่งรากและปลิดใบที่แก่ออก (การปลิดออกใช้มือโยกก้านใบขนาดกับพื้นดิน) จากนั้นใช้มีดคมตัดแยกต้นออกแล้วนำไปปลูก ใช้ระยะปลูก ใช้ระยะปลูก 30 x 50 ซม.
การให้ปุ๋ย
เนื่องจากการปลูกเพื่อผลิตไหลเป็นความพยายามเพาะเลี้ยงให้ต้นสตรอเบอรี่เจริญเติบโตทางด้านลำต้น ฉะนั้นจะต้องคำนึงถึงปุ๋ยไนโตรเจนเป็นสำคัญ ที่โครงการหลวงพัฒนาต้นน้ำหน่วยที่ 8 (บ่อแก้ว) ทดลองใช้ขี้ค้างคาวรองพื้นหลุมก่อนปลูกและใส่ปุ๋ยคอกระหว่างต้น จากนั้นรดปุ๋ยแอมโมเนียซัลเฟต 1 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ 1 ปี๊บ รดทุก 7-10 วัน พบว่าสตรอเบอรี่ 1 ต้นจะให้ไหล 50-70 ไหล

การตัดไหลและการบรรจุ
ประมาณหลายฤดูฝนไหลสตรอเบอรี่ก็จะเจริญเติบโตเต็มที่พร้อมที่จะตัดขายสู่ตลาด
การตัดไหล ใช้มีดหรือกรรไกรตัดแขนไหลโดยให้ส่วนที่เป็นข้อติดไปด้วย จากนั้นก็ขุดไหลออกทั้งหมดแล้วล้างราก ใช้สำลีมอส หรือนุ่นจุ่มน้ำแล้วห่อรากเอาไว้ โดยนำไหลมารวมกันประมาณ 10 ต้น แล้วห่อด้วยใบตองหรือถุงพลาสติก แล้วบรรจุในถุงพลาสติกใหญ่อีกครั้งแล้วนำไหลส่งให้ผู้ซื้อภายใน 24 ชั่วโมง

โรคสตรอเบอรี่
1. โรคใบจุด (Leaf Spot) เกิดจากเชื้อรา Ramuoaria sp. (Impetfect stage) หรือ Mycosphacrella sp. (Perfect stage) อาการทั่วไปจะเห็น เป็นจุดโปร่งแสงสีน้ำตาล ขอบแผลสีม่วง ถ้ารุนแรงใบจะแห้งและตายในที่สุด โรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝน เมื่อพบโรคนี้ควรเด็ดใบทิ้ง โดยใช้มือโยกก้านใบไปมาด้านข้างแล้วดึงออก การทำลายโดยการเผาทิ้ง ถ้ารุนแรงใช้ยาแคบแทน หรือเบนเลท พ่นทุก 7 วัน

2. โรค Leaf scorch เกิดจากเชื้อรา Massonia frabvariae อาการในระยะแรกพบจุดสีม่วงหรือสีน้ำตาลแดงบนใบและจุดจะกระจายเป็นแผลมีลักษณะไม่แน่นอน เนื้อเยื่อของใบถูกทำลายไม่แห้งเหมือนโรคอื่น เมื่อแผลกระจายติดกับใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและร่วงในที่สุด การป้องกันรักษาใช้ยาแคบแทนหรือเบนเลท พ่นทุก 7 วัน

3. โรคเหี่ยว เกิดจากเชื้อรา Fusarium sp. ซึ่งเข้าทำลายทางรากและแขน (Stolon) ของไหล เชื้อโรคชนิดนี้อาศัยอยู่ในดิน ต้นเหี่ยวใบลู่ลง โรคจะระบาดในขณะที่อากาศอบอ้าว ถ้าอากาศชื้นจะทำให้โรคหยุดระบาด แต่ถ้าเป็นมากต้นจะตาย เพราะระบบรากถูกทำลาย Crown มีวงสีน้ำตาลล้อมรอบ อุดท่อน้ำซึ่งส่งไปเลี้ยงใบและลำต้น การป้องกันรักษาต้องทำลายแหล่งเชื้อโรคในดินสำหรับไหลที่นำมาปลูกควรตัดข้อของแขนใบติดไปด้วย เพราะส่วนที่เป็นข้อสามารถป้องกันการเข้าทำลายของโรคได้ดี
จากการสังเกตที่โครงการหลวงพัฒนาต้นน้ำหน่วยที่ 8 พบโรคสตรอเบอรี่บ้าง แต่โรคไม่ระบาดและไม่ทำให้ต้นสตรอเบอรี่ตาย จึงทำให้ไม่ต้องกังวลต่อการฉีดยาป้องกันโรคสตรอเบอรี่ซึ่งทำเกิดผลต้องค้างของสารเคมีภายหลัง
จากการศึกษาพบว่าโรคของสตรอเบอรี่จะไม่ระบาดในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 20 ซํ. – 25 ซํ.

แมลง
หนอนกัดกินราก เป็นหนอนของด้วงปีกแข็งตัวสีขาวปากกัดสีน้ำตาลอ่อนเจริญเติบโตจากไข่ที่อยู่ใต้ดิน และในปลายฤดูฝนก็จะเริ่มกัดกินราก ทำให้รากไม่สามารถดูดน้ำได้เมื่อใบคายน้ำ จึงทำให้ใบเหี่ยว เซลล์คุมรูใบจะสูญเสียความเต่งตึง รูใบจะปิด CO2 ไม้สามารถฟุ้งกระจายเข้าสู่ใบได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพบอาการดังกล่าวควรขุดเอาหนอนมาทำลาย หรือก่อนปลูกควรโรยพื้นหลุมด้วยยาประเภทดูดซึม

จากการทดลองตัดไหลนำไปชำที่เรือนเพาะชำ โดยปล่อยให้พื้นดินว่างเปล่า จนกระทั่งสิ้นฤดูฝน หนอนก็จะเริ่มเข้าดักแด้ควรปลูกพืชที่อายุสั้นแซม เช่นพืชผัก ซึ่งกสิกรจะได้รายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย

การปลูกพืชอื่นหมุนเวียน
เมื่อเก็บผลสตรอเบอรี่หมดในเดือนเมษายนเพื่อเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินให้มีประสิทธิภาพและป้องกันการสะสมของโรคสตรอเบอรี่ ควรปลูกพืชอื่นหมุนเวียน พืชที่ควรปลูกควรเป็นพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเหลือง หรือการใช้ประโยชน์ที่ดินให้มีประสิทธิภาพและป้องกันการสะสมของโรคสตรอเบอรี่ ควรปลูกพืชอื่นหมุนเวียน พืชที่ควรปลูกควรเป็นพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเหลือง หรือถั่วเขียว เพราะจะเป็นการเพิ่มธาตุไนโตรเจนแก่ดินด้วย
หรือจะปลูกผัก ซึ่งทำรายได้ให้แก่ชาวสวนสตรอเบอรี่โดยเฉพาะชาวสวนที่มีพื้นที่ใกล้ตลาด เพราะสามารถขนส่งได้สะดวก.




นอกจากนี้เรายังมีข้อมูลดีๆ มีประโยชน์ของสตรอเบอรี่มาฝากกันด้วย


สตรอเบอรี่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และแคลเซียม สำหรับวิตามินซีและวิตามินเอนั้นมีประโยชน์ต่อเหงือกและฟัน หากนำมาพอกหน้าจะทำให้ผิวสดชื่นและชุ่มชื่นและถ้าเราทานสตรอเบอรี่เป็นประจำจะทำให้ผิวดี มีประโยชน์ต่อระบบเลือดและหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตและยังมีสารสำคัญที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความหยาบกร้านของผิว ช่วยชะลอความแก่ชรา ป้องกันการเกิดมะเร็ง หลอดเลือดอุดตัน และโรคภูมิแพ้ สตรอเบอรี่ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์เพคติน ซึ่งสามารถช่วยลดปริมาณคอเรสเตอรอลได้ระดับหนึ่ง


ผลไม้ลูกเล็กๆๆที่เต็มไปด้วยคุณค่า รสชาติสีสันที่ถูกใจ ต้องตาของผู้บริโภค สมกับคำที่กล่าวว่า


" สตรอเบอรี่กินอย่างปลอดภัย สวยใสอย่างธรรมชาติ "